
ทำความรู้จักกับ “มังกรทะเลสีน้ำเงิน” (Blue Dragon)
ชื่อสามัญ: มังกรทะเลสีน้ำเงิน หรือ ทากจิ๋งจก
ชื่อวิทยาศาสตร์ (คาดว่า): Glaucilla sp.
มังกรทะเลสีน้ำเงิน จัดอยู่ในกลุ่มหอยทากทะเล หรือทากเปลือย (Nudibranch) ที่มีวิวัฒนาการสูญเสียเปลือกแข็งภายนอกไป แต่พัฒนากลไกการป้องกันตนเองแบบอื่น เช่น การพรางตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และการสะสมสารพิษจากเหยื่อที่กินเข้าไป
ลักษณะเด่น
-
ขนาดเล็ก ประมาณ 0.5–3 ซม.
-
ลำตัวสีน้ำเงินแววเงิน
-
มีส่วนยื่นด้านข้างเรียกว่า cerata คล้ายแขนหรือลำตัวของมังกร
-
ลอยตัวคว่ำอยู่บนผิวน้ำ ใช้ลมและกระแสน้ำพัดพา
สรีระและการพรางตัวอันชาญฉลาด
- ขนาดและรูปลักษณ์: มังกรทะเลสีน้ำเงินมีขนาดเล็กมาก โดยทั่วไปมีความยาวเพียง 3 เซนติเมตร ลำตัวมีสีฟ้าสดใสและสีเงินแวววาว มีระยางค์คล้ายปีกหรือแขนงกิ่งไม้เรียกว่า “เซอราตา” (Cerata) แผ่ออกมาจากลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้มันดูสง่างามเหมือนมังกร แต่ยังมีหน้าที่สำคัญในการหายใจ การย่อยอาหาร และการป้องกันตัว
- การพรางตัวแบบสองด้าน (Countershading): พวกมันใช้ชีวิตแบบกลับหัว โดยเอาด้านท้องที่มีสีฟ้าสดหันขึ้นฟ้า เพื่อกลมกลืนไปกับสีของน้ำทะเลเมื่อมองจากด้านบน (เช่น จากนกทะเล) ส่วนด้านหลัง (ซึ่งปกติควรจะอยู่ด้านบน) จะมีสีเทาเงิน เพื่อกลมกลืนกับแสงแดดที่สะท้อนบนผิวน้ำเมื่อมองจากใต้น้ำ ทำให้รอดพ้นจากสายตาของนักล่าทั้งบนฟ้าและในน้ำ
ถิ่นที่อยู่อาศัยและพฤติกรรม
มังกรทะเลสีน้ำเงินเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในทะเลเปิด (Pelagic) พบได้ในน่านน้ำเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดีย พวกมันลอยตัวอยู่บนผิวน้ำได้โดยการกลืนฟองอากาศเข้าไปเก็บไว้ในกระเพาะอาหาร ทำให้สามารถล่องลอยไปตามกระแสลมและคลื่นได้อย่างอิสระ ในบางครั้งอาจถูกคลื่นซัดเข้ามาชายฝั่งพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “กองเรือสีน้ำเงิน” (Blue Fleet)
สุดยอดกลไกป้องกันตัว: นักสะสมพิษ
ความสามารถที่น่าทึ่งที่สุดของมังกรทะเลสีน้ำเงินคือวิธีการหาอาหารและป้องกันตัว
- อาหารจานโปรด: อาหารหลักของมันคือสิ่งมีชีวิตมีพิษที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเช่นกัน โดยเฉพาะ แมงกะพรุนเรือรบโปรตุเกส (Portuguese Man o’ War), แมงกะพรุน Velella (By-the-wind sailor) และแมงกะพรุน Blue Button
- การขโมยและสะสมพิษ: มังกรทะเลสีน้ำเงินมีภูมิคุ้มกันต่อพิษของเหยื่อ เมื่อมันกินเหยื่อเข้าไป มันจะคัดแยกเข็มพิษ (Nematocysts) ที่ร้ายแรงที่สุดของเหยื่อออกมา และนำไปเก็บสะสมไว้ที่ปลายเซอราตา (ระยางค์คล้ายปีก) ของตัวเอง
- พิษร้ายแรงกว่าเดิม: กระบวนการนี้ทำให้พิษที่เก็บไว้มีความเข้มข้นสูงกว่าเดิมมาก ส่งผลให้การต่อยของมังกรทะเลสีน้ำเงินนั้นเจ็บปวดและรุนแรงยิ่งกว่าการถูกแมงกะพรุนเรือรบโปรตุเกสต่อยโดยตรงเสียอีก!
การสืบพันธุ์
มังกรทะเลสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่มีสองเพศในตัวเดียว (Hermaphrodite) คือมีทั้งอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมีย แต่พวกมันยังต้องจับคู่เพื่อผสมพันธุ์ หลังจากนั้นจะวางไข่เป็นสาย (ประมาณ 16-20 ฟอง) เกาะติดไว้กับซากของเหยื่อหรือวัตถุอื่นๆ ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
คำเตือน: สวยงามแต่ห้ามสัมผัส!
แม้ว่ามังกรทะเลสีน้ำเงินจะดูสวยงามน่าสัมผัส แต่ ห้ามจับหรือสัมผัสโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะพบเจอในทะเลหรือที่ถูกซัดขึ้นมาบนชายหาด พิษที่สะสมอยู่ในตัวของมันยังคงทำงานได้แม้ว่ามันจะตายแล้วก็ตาม การสัมผัสอาจทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่อาการแพ้อย่างรุนแรงได้
มังกรทะเลสีน้ำเงินในน่านน้ำไทย
สำหรับมังกรทะเลสีน้ำเงินที่พบในประเทศไทย จากการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา คาดว่าน่าจะเป็นชนิดในสกุล Glaucilla ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ Glaucus atlanticus แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่าและมีการเรียงตัวของเซอราตาที่แตกต่างกันเล็กน้อย นับเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลไทยที่เราควรศึกษาและอนุรักษ์ต่อไป
เกร็ดน่าสนใจ
มังกรทะเลสีน้ำเงินมักพบลอยอยู่ในทะเลเปิด อาศัยกระแสน้ำและลมในการเคลื่อนที่ และในน่านน้ำไทยพบว่ามีโอกาสเป็น Glaucilla sp. จากลักษณะทางสัณฐานวิทยา
จัดทำโดย
นักวิชาการประมงปฏิบัติการ
ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน
เอกสารอ้างอิง
-
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
-
กองสารสนเทศและเทคโนโลยีการสำรวจทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง