การกักเก็บคาร์บอนในแหล่งหญ้าทะเล (Seagrass): พลังวิเศษใต้พื้นน้ำ

หญ้าทะเลคืออะไร และมีกี่ชนิดในไทย?

  • เจาะลึก “หญ้าทะเล” (Seagrass) แหล่งกักเก็บคาร์บอนประสิทธิภาพสูง และกลไก Blue Carbon ที่โลกต้องจารึก

    หญ้าทะเล (Seagrass) อาจดูเหมือนพืชใต้น้ำธรรมดา แต่ในโลกของการต่อสู้กับสภาวะโลกร้อน พวกมันคือ “อัศวินสีน้ำเงิน” หรือ Blue Carbon ที่ทรงพลัง บทความนี้จะพาไปเจาะลึกกลไกการกักเก็บคาร์บอนของหญ้าทะเลไทยทั้ง 13 ชนิด และวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการวัดค่าคาร์บอนสต็อก (Carbon Stock) อย่างละเอียด


     หญ้าทะเลคืออะไร? ทำความรู้จักพืชมีดอกหนึ่งเดียวในทะเลไทย

    หญ้าทะเล (Seagrass) คือกลุ่มพืชมีดอก (Angiosperms) ที่มีลักษณะเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ที่สามารถปรับตัวให้เติบโตและขยายพันธุ์อยู่ใต้ทะเลได้อย่างสมบูรณ์ โดยพบได้ตั้งแต่บริเวณเขตน้ำขึ้นน้ำลง (Intertidal zone) ไปจนถึงเขตที่จมอยู่ใต้น้ำ (Subtidal zone)

    ในน่านน้ำไทยมีการสำรวจพบหญ้าทะเลรวมทั้งสิ้น 13 ชนิด ซึ่งทำหน้าที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศชายฝั่ง

    5 ประโยชน์ที่สำคัญของระบบนิเวศหญ้าทะเล

    1. แหล่งอาหาร: เป็นแหล่งอาหารหลักของสัตว์ทะเลหายาก เช่น พะยูน และเต่าทะเล

    2. แหล่งอนุบาล: เป็นบ้านหลังแรกของสัตว์ทะเลวัยอ่อน (Nursing ground)

    3. แหล่งวางไข่: เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์ทะเลขนาดเล็กในการวางไข่

    4. แหล่งหลบภัย: ช่วยกำบังศัตรูธรรมชาติให้กับสัตว์น้ำนานาชนิด

    5. การกักเก็บคาร์บอน: มีศักยภาพสูงในการดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์


     มหัศจรรย์ Blue Carbon: พื้นที่ 0.2% แต่เก็บคาร์บอนได้เกิน 10%

    ข้อมูลที่น่าทึ่งจากงานวิจัยระบุว่า แม้พื้นที่หญ้าทะเลทั่วโลกจะมีขนาดรวมกันน้อยกว่า 0.2% ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด แต่ระบบนิเวศนี้กลับมีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนได้มหาศาล โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของคาร์บอนทั้งหมดที่ถูกกักเก็บในมหาสมุทร (Ocean Carbon Pool)


    [H2] คาร์บอนในแนวหญ้าทะเลถูกเก็บไว้ที่ไหนบ้าง?

    การกักเก็บคาร์บอนในแหล่งหญ้าทะเลประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้:

    แหล่งกักเก็บ รายละเอียดและส่วนประกอบ
    1. ส่วนเหนือพื้นดิน (Aboveground living biomass) รวมถึงส่วนของ ใบ (Leaves) และ กาบใบ (Leaf sheaths) ที่ทำหน้าที่สังเคราะห์แสงและดึงคาร์บอนมาใช้สร้างเนื้อเยื่อ
    2. ส่วนใต้พื้นดิน (Belowground living biomass) ประกอบด้วย เหง้า (Rhizomes) และ ราก (Roots) ซึ่งทำหน้าที่ยึดเกาะพื้นดินและกักเก็บคาร์บอนไว้ใต้เนื้อดิน
    3. คาร์บอนจากตะกอนดิน (Sediment) เป็นแหล่งที่กักเก็บคาร์บอนได้มากที่สุด เกิดจากการทับถมของซากพืชและสารอินทรีย์ที่ถูกกักไว้โดยรากหญ้าทะเล ทำให้คาร์บอนถูกกักเก็บไว้ได้นานนับร้อยนับพันปี

     ขั้นตอนการศึกษาการกักเก็บคาร์บอน (Scientific Methodology)

    เพื่อให้ได้ค่า Carbon Stock ที่แม่นยำ นักวิจัยจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (DMCR) ได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เข้มงวด ดังนี้:

    1. การวัดคาร์บอนในตัวพืช (Carbon Stock in Seagrass)

    • การเก็บตัวอย่าง: เก็บหญ้าทะเลเพื่อหาค่าชีวมวล (Biomass) โดยแยกส่วนเหนือดินและใต้ดิน

    • การวิเคราะห์: นำตัวอย่างไปอบแห้งและเข้าสู่กระบวนการเผาที่อุณหภูมิ $450-550$ °C เป็นเวลา 4-8 ชั่วโมง

    • การสรุปผล: ปริมาณน้ำหนักที่หายไปหลังการเผาจะถูกนำมาคำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนสะสมตามมาตรฐานคู่มือการวิจัย

    2. การวัดคาร์บอนในตะกอนดิน (Carbon Stock in Sediment)

    • การสุ่มเก็บตะกอน: ใช้กระบอกเก็บตัวอย่างดิน (Core Sampler) ในแหล่งหญ้าทะเลตามระดับความลึกที่กำหนด

    • การวิเคราะห์ทางเคมี: นำตะกอนดินมาวิเคราะห์หาปริมาณคาร์บอนด้วยการเผาที่อุณหภูมิ $450-550$ °C นาน 4-8 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน เพื่อคำนวณหาค่า Organic Carbon ในชั้นดิน


    สรุป: ทำไมเราต้องเร่งฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล?

    การกักเก็บคาร์บอนในหญ้าทะเลไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของงานวิจัย แต่เป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission การรักษาหญ้าทะเลหนึ่งผืนมีค่าเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ

    แหล่งอ้างอิง: สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

  • จัดทำโดย

    นักวิชาการประมงปฏิบัติการ
    ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน


    เอกสารอ้างอิง

    • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

    • กองสารสนเทศและเทคโนโลยีการสำรวจทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

    • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

บทความล่าสุด