ความสำคัญของคุณภาพน้ำในตู้เลี้ยงปลา
คุณภาพน้ำเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงปลาให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว การรักษาระดับพารามิเตอร์ของน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันโรคและความเครียดของปลาได้ เนื้อหาด้านล่างนี้คือพารามิเตอร์หลักที่คุณควรทำความเข้าใจและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ
1. วัฏจักรไนโตรเจน (Nitrogen Cycle)
ก่อนจะลงรายละเอียดเรื่องเคมีของน้ำ สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือวัฏจักรไนโตรเจน ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่จัดการกับของเสียในตู้ปลา
- แอมโมเนีย (NH₃): ของเสียจากปลา อาหารที่เหลือ และซากพืช เป็นสารที่มีพิษร้ายแรงที่สุดสำหรับปลา แอมโมเนียจะถูกเปลี่ยนเป็นไนไตรต์โดยแบคทีเรียกลุ่มแรกในระบบกรอง
- ไนไตรต์ (NO₂): เป็นสารประกอบที่มีพิษสูงเช่นกัน ไนไตรต์จะถูกเปลี่ยนเป็นไนเตรตโดยแบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่ง
- ไนเตรต (NO₃): ผลิตภัณฑ์สุดท้ายของวัฏจักรไนโตรเจน มีความเป็นพิษต่อปลาต่ำกว่าแอมโมเนียและไนไตรต์มาก แต่หากสะสมในปริมาณสูงก็สามารถทำให้ปลาเครียดและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้
สิ่งที่คุณต้องจำคือ: ระดับ แอมโมเนีย และ ไนไตรต์ ในตู้ปลาควรเป็นศูนย์เสมอ ส่วน ไนเตรต สามารถมีได้ในปริมาณที่เหมาะสม
2. ค่า pH และความเป็นด่าง (pH & KH)
- ค่า pH: คือการวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำ โดยมีค่าตั้งแต่ 0-14 ค่า 7.0 คือเป็นกลาง
- ค่าที่เหมาะสม: ปลาเขตร้อนส่วนใหญ่จะอยู่ได้ดีที่ pH 6.8 – 7.8 แต่ปลาบางชนิดอาจมีช่วงที่แคบกว่า
- ผลกระทบ: ค่า pH ที่ต่ำหรือสูงเกินไปอย่างต่อเนื่องจะทำให้ปลาเครียดและอาจเสียชีวิตได้ การเปลี่ยนแปลงค่า pH อย่างรวดเร็วเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
- ความเป็นด่าง หรือค่า KH (Carbonate Hardness): คือค่าที่วัดความสามารถของน้ำในการต้านทานการเปลี่ยนแปลงค่า pH หรือที่เรียกว่า “บัฟเฟอร์”
- ค่าที่เหมาะสม: ค่า KH ที่เหมาะสมจะช่วยรักษาระดับ pH ในตู้ปลาให้คงที่ ไม่ให้แกว่งขึ้นลง
- วิธีแก้ไข: การเปลี่ยนถ่ายน้ำบางส่วนเป็นประจำจะช่วยเติมความกระด้างของคาร์บอเนตและรักษาระดับ pH ให้คงที่ได้
3. ความกระด้างทั่วไป (GH)
- ค่า GH (General Hardness): เป็นการวัดปริมาณแคลเซียมและแมกนีเซียมในน้ำ ซึ่งปลาส่วนใหญ่สามารถปรับตัวเข้ากับค่า GH ที่หลากหลายได้
- คำแนะนำ: โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องพยายามปรับค่า GH ในตู้ปลา เว้นแต่คุณจะเลี้ยงหรือเพาะพันธุ์ปลาที่มีความต้องการเฉพาะทาง เพราะการเติมสารเคมีเพื่อปรับค่า GH อาจทำให้ปลาเกิดความเครียดได้
4. สารประกอบอื่นๆ
- ฟอสเฟต (PO₄): แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อปลาโดยตรง แต่ฟอสเฟตเป็นสารอาหารหลักที่ทำให้เกิด ตะไคร่น้ำ การควบคุมระดับฟอสเฟตให้ต่ำจะช่วยลดปัญหาตะไคร่น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อุณหภูมิ: อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับปลาแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน โดยปลาน้ำจืดเขตร้อนส่วนใหญ่จะต้องการอุณหภูมิประมาณ 22 – 28 องศาเซลเซียส (72 – 82 องศาฟาเรนไฮต์) การรักษาอุณหภูมิให้คงที่ด้วยฮีทเตอร์เป็นสิ่งสำคัญ